ของเหลวในรถยนต์ควรเปลี่ยนตอนไหน ? เช็กได้ด้วยตัวเอง รู้ไว้ก่อนพัง

โดยพฤติกรรมของคนไทยส่วนใหญ่เมื่อซื้อรถใหม่มาแล้วจะใช้งานอย่างน้อย 5 ปีขึ้นไป และอีกจำนวนไม่น้อยมักจะเลือกซื้อรถมือสองมาใช้ ซึ่งหลายคนอาจไม่รู้ว่าส่วนประกอบของรถบางอย่างเมื่อถึงเวลาต้องมีการบำรุงรักษา โดยบางชิ้นที่มีการเสียดสีต้องใช้น้ำมันหล่อลื่นเข้ามาช่วย ไม่ว่าจะเป็น น้ำมันเครื่อง น้ำมันเกียร์ น้ำยาหม้อน้ำ น้ำมันเบรก เป็นต้น และแต่ละอย่างจะมีระยะเวลาในการเปลี่ยนซ่อมบำรุงที่แตกต่างกันออกไป หากไม่สนใจหรือไม่ทำอะไรเลยอาจส่งผลต่อการทำงานต่าง ๆ ของรถยนต์ได้ในอนาคต มาดูกันว่าของเหลวในรถยนต์มีอะไรบ้างและควรเปลี่ยนตอนไหน หากพร้อมแล้วไปเช็คพร้อมกัน

เปลี่ยนก่อนพัง ของเหลวในรถยนต์ มีอะไรบ้าง

                  1. น้ำมันเครื่อง เป็นสิ่งที่มีความสำคัญเป็นอย่างมาก เพราะเปรียบเสมือนเป็นเส้นเลือดที่หล่อเลี้ยงให้เครื่องยนต์ทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ โดยปกติทั่วไปเมื่อรถวิ่งได้ระยะทาง 8,000-10,000 กิโลเมตร หรือทุก 6 เดือน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการใช้งานของเราด้วย หากใช้งานบ่อยอาจเปลี่ยนทุก ๆ 5,000 กิโลเมตร หรือประมาณ 3 เดือนต่อครั้ง

แม้ว่ารถบางคันอาจจะไม่ค่อยได้ใช้หรือจอดทิ้งไว้ ก็จำเป็นต้องเปลี่ยนเช่นกัน เพราะน้ำมันเครื่องจะทำปฏิกิริยากับอากาศส่งผลให้เสื่อมสภาพลงเรื่อย ๆ ในส่วนสภาพอากาศก็มีส่งผลต่อการเสื่อมของน้ำมันเครื่องได้ เช่น หากอากาศหนาวเย็นเมื่อสตาร์ทรถการเผาไหม้จะยังไม่สมบูรณ์ คราบน้ำมัน อาจตกลงไปเจือปนได้ เป็นต้น ที่สำคัญเมื่อมีโอกาสเปลี่ยนของเหลวในรถยนต์ ควรเปลี่ยนไส้กรองน้ำมันไปพร้อมกัน เพื่อให้ได้ใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

                  2. น้ำมันเกียร์ มีหน้าที่ช่วยลดแรงเสียดทาน ลดการสึกหลอ ลดเสียงดัง รวมถึงการสั่นสะเทือนในเรือนเกียร์ แถมช่วยล้างเศษโลหะจากหน้าฟันเกียร์ที่เกิดขึ้นจากการสะเทือนและการเสียดสี ทั้งยังป้องกันสนิมจาการกัดกร่อนจากชิ้นส่วนภายใน ดังนั้นการเปลี่ยนน้ำมันเกียร์ตามระยะทางที่กำหนดจะช่วยยืดอายุการใช้งานเกียร์ให้ยาวนานขึ้น เนื่องจากส่วนนี้มีความสำคัญเป็นอย่างมาก หากไม่ดูแลรักษาให้ดี เมื่อเกิดความเสียหายการเปลี่ยนตัวใหม่ทำให้มีค่าใช้จ่ายที่แพงพอสมควรเลยทีเดียว

โดย เกียร์ธรรมดา ประมาณปีละ 1 ครั้ง แต่หากใช้รถลุยน้ำตากฝนบ่อย ๆ อาจจะต้องเปลี่ยนเร็วขึ้น เพราะความชื้นจะเข้าไปในห้องเกียร์ ทำให้เสื่อมสภาพเร็วกว่ากำหนดได้ ส่วนเกียร์ออโต้ ในคู่มือรถส่วนใหญ่จะกำหนดให้เปลี่ยนทุก ๆ 30,000-40,000 กิโลเมตร หากเป็นรถที่ใช้งานสมบุกสมบัน หรือวิ่ง ๆ หยุด ๆ อย่างการขับรถในเมืองใหญ่ อาจเปลี่ยนน้ำมันที่ระยะ 10,000-20,000 กิโลเมตร ทั้งนี้การที่เราเปลี่ยนบ่อย ๆ จะช่วยให้น้ำมันเกียร์สะอาด ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ เกียร์ไม่พังไวอย่างแน่นอน

                  3. น้ำยาหล่อเย็น เป็นของเหลวในรถยนต์ที่มีคุณสมบัติช่วยทำให้จุดเดือดของน้ำที่ผสมน้ำยาหล่อเย็นสูงขึ้น ส่งผลให้หม้อน้ำเดือดช้าลง แถมป้องกันการเกิดสนิม ตะกอน ตะกรัน เนื่องจากอาจมีการผุ กร่อน จนมีตะกอนเกิดขึ้นจากการทำงานของเครื่องยนต์ น้ำยาชนิดนี้จึงช่วยไม่ให้เกิดการอุดตันในรังผึ้งของหม้อน้ำได้เป็นอย่างดี

ส่วนระยะการเปลี่ยนถ่ายขึ้นอยู่กับรถแต่ละรุ่น เช่น บางยี่ห้อกำหนดไว้ทุก ๆ 2 ปี หรือประมาณ 40,000 กิโลเมตร แต่บางรุ่นกำหนดที่ 100,000-2,000 กิโลเมตร เป็นต้น แต่ทั้งนี้เราสามารถเช็คได้ด้วยตัวเองโดยการเปิดฝากระโปรงรถประมาณอาทิตย์ละครั้ง เพื่อสังเกตน้ำภายในหม้อน้ำ และหม้อพักน้ำสำรอง ว่ามีการลดลงอย่างผิดปกติ มีรอยคราบต่าง ๆ หรือไม่ หากมีควรรีบเข้าศูนย์หรืออู่เพื่อตรวจเช็คอย่างละเอียดโดยทันที

                  4. น้ำมันเบรก ถือว่าเป็นตัวกลางในการส่งแรงดันจากแม่ปั๊มเบรกตัวบนไปสู่ลูกสูบเบรก น้ำเบรกที่ดีดีจะมีจุดเดือดสูง เพื่อไม่ให้เบรกร้อนเร็วจนกลายเป็นไอส่งผลให้ไม่สามารถถ่ายเทแรงดันได้ตามปกติ อาจทำให้เสี่ยงต่อการเบรกไม่ติด จนเกิดอุบัติเหตุขึ้นได้ ดังนั้นเพื่อความปลอดภัยควรเปลี่ยนน้ำมันเบรกที่ได้รับรองมาตรฐาน และเปลี่ยนถ่ายทุก ๆ 1 ปี หรือ 40,000 กิโลเมตร เพื่อไล่ความชื้น ป้องกันการกัดกร่อนจากสนิม เพราะสิ่งเหล่านี้จะทำให้ลูกยางบวม หรือฉีกขาดจนเกิดการรั่วซึม ส่งผลให้เบรกไม่อยู่นั่นเอง

                  โดยปกติ น้ำเบรกจะมีอายุการใช้งานถึง 80,000 กิโลเมตร หรือประมาณ 3 ปี โดยเราสามารถตรวจสอบได้จากปริมาณบนกระปุกน้ำมันเบรกในห้องเครื่อง ว่าอยู่ในปริมาณ Max หรือไม่ หากพร่องลงไปควรรีบตรวจระบบเบรกทันที

                  5. น้ำมันพาวเวอร์ ในปัจจุบันรถยนต์รุ่นใหม่จะใช้ระบบไฟฟ้าเป็นส่วนใหญ่ แต่หากใครที่ยังใช้ระบบพวงมาลัยเพาเวอร์ไฮดรอลิค ควรรีบตรวจสอบระดับน้ำมันพวงมาลัยว่าปกติหรือไม่ หากมีไม่เพียงพอการบังคับเลี้ยวจะทำได้ยากขึ้น นอกจากนี้ชุดเฟืองขับ และเฟืองสะพานอาจได้รับความเสียหายหากไม่มีน้ำมันไปช่วยลดแรงกระแทกนั่นเอง

                  ดังนั้น ควรเปลี่ยนถ่ายน้ำมันพวงมาลัยพาวเวอร์ทุก ๆ 80,000 กิโลเมตร หรือตามที่กำหนดในคู่มือรถ เพราะเมื่อเวลาผ่านไปความร้อนของเครื่องยนต์และสภาพต่าง ๆ โดยรอบจะทำให้ความสามารถในการทำงานลดลงได้

              เมื่ออ่านมาถึงตรงนี้คงพอจะรู้แล้วว่า ของเหลวในรถยนต์อะไรบ้างที่ควรเปลี่ยน และต้องทำตอนไหน ซึ่งเป็นสิ่งที่ผู้คนส่วนใหญ่ละเลย และไม่เห็นความสำคัญ เมื่อปล่อยทิ้งไว้นาน ๆ อาจทำให้ระบบต่าง ๆ ของเครื่องยนต์เกิดความเสียหายขึ้น จนต้องเสียเงินไปกับการซ่อมบำรุงเป็นจำนวนมาก ดังนั้นเพื่อเป็นการป้องกันควรหมั่นตรวจเช็คสภาพรถเป็นประจำสม่ำเสมอเพื่อให้รถอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์ พร้อมใช้งาน นอกจากควรศึกษาคู่มือหรือปรึกษาผู้เชี่ยวชาญจะได้ตรวจเช็กอย่างถูกต้องด้วย

เครดิตภาพ : kmotors.co.th / kapook.com / chobrod.com

YouTube : เปลี่ยนถ่ายของเหลวในรถยนต์…ตอนไหน!!! อะไรบ้าง!!!

#ของเหลวในรถยนต์ #รักรถต้องรู้ #เช็คก่อนสตาร์ท

thegarace

thegarace

Leave a Replay

Sign up for our Newsletter

Click edit button to change this text. Lorem ipsum dolor sit amet, consectetur adipiscing elit